วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

แจกสูตร-น้ำมันนวดหน้าลดฝ้า -ทำเองก็ได้ ง่ายจัง



น้ำมันนวดหน้าลดฝ้า
  
           มีคนเยอะมากที่ถามครูดานิ ว่าหน้าเป็นฝ้ามากจะทำอย่างไรถึงจะหาย อยากกลับมาสวยคะ

          วันนี้ครูดานิ จะแนะนำวิธีการทำ น้ำมันนวดหน้าลดฝ้า กันคะ ทำง่าย ๆ สบาย ๆ ได้ที่บ้าน      เราทำเองได้ 



สรรพคุณน้ำมันนวดหน้า

-เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
-ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
-ทำให้รูขุมขมกระชับขึ้น และช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น
-ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส ลดรอยดำ รอยแผลเป็น 
-ลดฝ้า กระ จุดด่างดำได้ดี
-ช่วยทำให้ผิวสดใสเปล่งปลั่ง

อุปกรณ์

1.เครื่องปั่นน้ำผลไม้  
2.หม้อตุ๋นแก้ว หรือหม้อตุ๋นเซรามิค

ส่วนผสม

1.ขมิ้นชัดสด 10 กรัม
2.หัวไชเท้าสด  50 กรัม
3.ว่านหางจระเข้สด 50 กรัม
4.อะโวคาโดสด 100 กรัม
5.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น 100 กรัม

วิธีการทำ

1.นำส่วนผสมทั้งหมด ใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ แล้วปั่นให้ละเอียด 
2. เมื่อปั่นละเอียดดีแล้ว ให้นำไปตุ๋นด้วยไฟปานกลาง  เคี่ยวให้สมุนไพรสดแห้ง 
3.เมื่อเคี่ยวได้ที่แล้ว ทิ้งไว้ให้เย็น  ปล่อยให้ตกตะกอน แล้วกรองเอานำน้ำมันใส ๆ มาใช้ได้

วิธีการใช้

ก่อนนอน หยดน้ำมันลดฝ้า 1-2 หยด ทาบนใบหน้า แล้วนวด เบา ๆ ให้ทั่ว

วิธีการเก็บรักษา

ใส่ขวดปิดฝาให้สนิท 


#ครูดานิ Soap ExPert
#เรียนทำสบู่ง่ายๆ สบายๆ ได้ที่บ้าน
#เบอร์โทรติดต่อ: 0625945642, 0614696546
#Line ld : @127wsjci
##YouTube : dani dani soap
Facebook : สอนทำสบู่ เรียนทำสบู่ สอนออนไลน์ ครูดานิ







วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

การดูแลผิวหน้า ให้ขาวกระจ่างใส สุขภาพดี




การดูแลผิวหน้า ให้ขาวใส อย่างเป็นขั้นตอน

อยากมีผิวหน้าขาวใส สุขภาพดี แต่ปัญหาผิวหน้าในตอนนี้นั้นทั้งแห้ง ทั้งรอยสิวเยอะแยะไม่รู้จะเริ่มดูแลจากตรงไหนก่อนดี วันนี้เรามีบทสรุปการดูแลผิวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพมาให้คุณได้ลองนำไปทำตามกันดู บทสรุปนี้มีทั้งขั้นตอนและวิธีการบำรุงผิวหน้าที่เหมาะกับปัญหาผิวหน้าและสภาพผิวหน้าต่างๆมาให้ทราบกัน หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลผิวหน้าเพื่อป้องกันหรือแก้ไขปัญหาผิวหน้าที่กำลังเผชิญอยู่ ลองทำตามวิธีของเรา รับประกันเลยว่าคุณจะสมหวังได้หน้าขาวใส สุขภาพดีมาครอบครองอย่างแน่นอน!



ผิวหน้าสุขภาพดีมีลักษณะอย่างไร?


  1. ผิวหน้าชุ่มชื้น = ไม่แห้งกร้าน ไม่ระคายเคืองหรือถูกสัมผัสแล้วรู้สึกคัน ไม่ลอกเป็นขุย
  2. ผิวเรียบเนียน = ไม่มีสิวหรือผดผื่น ผิวนุ่มละเอียด รูขุมขนกระชับ มีความนุ่มและยืดหยุ่น
  3. สีผิวสม่ำเสมอ = ไม่มีรอยแดง รอยดำ หรือรองหมองคล้ำใต้ดวงตา


การดูแลผิวหน้า ให้ขาวกระจ่างใส สุขภาพดี

1.ทำความสะอาด


ผิวหน้าของเรานั้นต้องเผชิญทั้งฝุ่นควัน แสงแดด เครื่องสำอาง มลพิษและสิ่งสกปรกต่างๆมากมายในทุกวัน ดังนั้นการทำความสะอาดจึงเป็นหนึ่งในขั้นตอนการดูแลผิวหน้าที่ต้องทำทุกวันอย่างไม่ควรหลีกเลี่ยง ขั้นตอนและผลิตภัณฑ์สำหรับการทำความสะอาดนั้นจะแตกต่างกันไปตามสภาพผิวและสถานการณ์ เช่น หากเราแต่งหน้า ก็ควรใช้เมคอัพ รีมูฟเวอร์ ในการเช็ดล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนล้างหน้า หากเราหน้าแห้งแพ้ง่าย ก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหน้าแห้งตึงเกินไปและต้องมาแก้ไขทีหลัง อย่างไรก็ตามควรเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่มีความเป็นด่างที่สูงเกินไป เนื่องจากความเป็นด่างจะไปชะล้างเอาไขมันตามธรรมชาติของผิวหน้าออกไป ทำให้ผิวหน้าเเห้ง หยาบกระด้าง ระคายเคือง และอักเสบได้ง่าย ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่มีค่า pH Balance หรือมีความเป็นกรด-ด่างใกล้เคียงกับสภาพผิวของเรา
วิธีล้างหน้าที่ดีนั้นเราควรจะล้างด้วยน้ำสะอาดอย่างเบามือ ไม่รีบ และควรใช้นิ้วนวดเบาๆในลักษณะดันขึ้นเพื่อยกกระชับผิวหน้าไปในตัว หลังการล้างหน้าเราก็ควรใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับหน้าให้แห้ง และใช้โทนเนอร์แบบไม่มีแอลกอฮอร์ เพื่อปรับสภาพผิวและเตรียมผิวให้พร้อมก่อนการบำรุงผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์อื่นต่อไป

2.บำรุงหน้า
การบำรุงหน้า คือ การป้อนสารอาหารและสารบำรุงที่จำเป็นต่อความต้องการของสภาพและสถานการณ์ผิวหน้าของเราในช่วงเวลานั้นๆ และโดยส่วนใหญ่ผิวหน้าของเรานั้นต้องการการดูแลแก้ไขปัญหาหลากหลายอย่างพร้อมๆกัน เช่น หน้าแห้ง สิว รูขุมขนกว้าง ทำให้เราต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงหน้าหลายอย่าง และเนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงหน้าหลายอย่าง ด้วยลักษณะและความหนักเบาของเนื้อผลิตภัณฑ์ทำให้เกิดการกีดกันการทำงานและทำลายคุณภาพกันเอง ดังนั้นเราควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากเนื้อเบาซึมง่าย ไปจนถึงเนื้อหนักที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบมาก โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. เซรั่มบำรุงผิวหน้า 2. อายครีม 3.ครีมมอยเจอร์ไรเซอร์ 4.สลิปปิ้งมาร์ค(กลางคืน) หรือกันเเดด(กลางวัน) 5. ลิปบาล์ม

3.ป้องกันผิวหน้า
ปัจจัยภายนอกที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวเสียเกิดเป็นฝ้า กระ ริ้วรอยต่างๆขึ้นมา คือ แสงแดด อากาศแห้ง มลภาวะในอากาศต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถป้องกันได้โดยทาครีมกันแดดที่มีความสามารถในการป้องกันทั้ง UVA และ UVB โดยเลือกให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่เราต้องเผชิญกับเเสงแดดและกิจกรรมที่เราทำ ซึ่งเรามีข้อแนะนำง่าย ดังนี้ หากในแต่ละวันเราไม่ได้ทำกิจกรรมกลางเเจ้งที่ต้องโดนเเสงเเดงมาก สามารถเลือกให้ครีมกันแดดที่มี SPF15 PA++ แต่หากวันไหนเราต้องทำกิจกรรมกลางเเจ้งเป็นเวลานานกว่าปกติ ให้เลือกครีมกันเเดดที่มีค่า SPF30 และ PA+++ ขึ้นไป
Sun Protection Factor (SPF) คือ ค่าการป้องกัน UVB ที่บ่งบอกว่าจะดูดซับ UVB ได้ปริมาณเท่าใด เช่น SPF 15 ดูดซับ UVB ได้ 93.3%, SPF 30 ดูดซับ UVB ได้ 96.7%, SPF 50 ดูดซับ UVB ได้ 98%
Protection Grade of UVA (PA) คือ ค่าป้องกัน UVA ที่บ่งบอกว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสีเท่าใด เช่น PA+ มีประสิทธิภาพป้องกันเริ่มต้น, PA++ มีประสิทธิภาพป้องกันกลาง, PA+++ มีประสิทธิภาพป้องกันสูง, PA++++ มีประสิทธิภาพป้องกันสูงสุด
อย่างไรก็ตาม หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงในการเผชิญกับเเสงแดดโดยตรงเป็นระยะเวลานาน ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้นอกจากทาครีมกันเเดดเเล้ว ให้สวมเสื้อผ้าที่ป้องกัน UV กางร่ม และหลบพักอยู่ในบริเวณที่ร่มเป็นระยะๆ เป็นต้น
นอกจากการทาครีมกันแดดแล้ว เราสามารถป้องกันผิวหน้าด้วยวิธีการอื่นๆด้วย ตัวอย่างเช่น การหยุดพักการแต่งหน้า ให้ผิวหน้าได้ฟื้นฟูตัวเอง หรือทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เราควรทำความสะอาดปลอกหมอน ที่นอน ผ้าขนหนูเป็นประจำ หรือหากเราแต่งหน้า เราก็ควรทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้าเป็นประจำเช่นกั

4.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
การรับประทานอาหารที่เหมาะสมก็เหมือนกับการทาครีมที่มีประสิทธิภาพให้กับผิวหน้าของเรา เพียงแต่การรับประทานอาหารนั้นบำรุงผิวหน้าของเราจากภายใน ในขณะที่การทาครีมนั้นบำรุงผิวหน้าจากภายนอก ดังนั้นหากเราต้องการมีผิวหน้าที่ขาวใส ไร้สิว ไร้ริ้วรอย เราก็ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงผิวพรรณด้วย


10 สารอาหารสำคัญบำรุงผิว

วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินที่เป็นส่วนสำคัญในการทำให้ผิวมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น อีกทั้งวิตามินซียังช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด และเพิ่มภูมิต้านทางให้แก่ผิว วิตามินซีพบมากในผักและผลไม้ต่างๆ เช่น บรอกโคลี ผักคะน้า ผักปวยเล้ง ดอกกะหล่ำ ต้นหอม ผักกาดขาว ใบมะรุม พริกหวาน ส้ม ฝรั่ง กีวี สตอเบอร์รี่ เชอรี่ มะนาว ลิ้นจี่ และมะระกอ
วิตามินเอ (Vitamin A) ช่วยซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ ป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหน้า ช่วยให้กระบวนการเติบโตของผิวหน้าทำงานอย่างเป็นปกติ วิตามินเอพบมากใน ไข่ นม เนย ปลาแซลมอน มะเขือเทศ แครอท ผักบุ้ง ตำลึง และฟักทอง
วิตามินอี (Vitamin E) ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย ทำให้ผิวหนังไม่แห้งเหี่ยว ช่วยให้แผลหายเร็วและป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ผิวหนัง วิตามินอีพบมากใน ไข่ ขนมปัง ถั่วเหลือ น้ำมันพืช เมล็ดทานตะวัน และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์
วิตามินบีรวม มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวที่หลากหลาย
บี1 (ไทอามีน) เป็นวิตามินที่เกี่ยวข้องอย่างมากกับระบบประสาท เป็นที่รู้จักกันดีในการช่วยลดความเครียด การขาดวิตามินบี1 จะส่งผลต่อผิวหนังเป็นอย่างมาก โดยจะทำให้ผิวหนังมีความไว (Sensitive) ต่อผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ อากาศ และสภาวะแวดล้อม ทำให้ผิวเกิดการแดง แห้ง และเป็นสิวได้ง่าย นอกจากนั้นวิตามินบี 1 ยังมีคุณสมบัติในการช่วยชะลอวัยให้กับผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวหนังเรียบ ซ่อมแซมสีผิวและผิวที่เสื่อมสภาพ พบมากในเนื้อหมู เมล็ดทานตะวัน เมล็ดงา เมล็ดถั่วเขียว
บี3 (ไนอาซิน) เป็นหนึ่งในวิตามินบีที่มีความสำคัญกับผิวเป็นอย่างมาก ช่วยปรับฟื้นฟูสภาพผิวที่เเห้ง เเพ้ง่าย เป็นสิว ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส ปกป้องกันผิวจากการทำลายของเเสงเเดด ช่วยทำให้ผิวนุ่มและเรียบเนียนมากขึ้ิน พบมากในผลิตภัณฑ์โฮลวีต จมูกข้าวสาลี เมล็ดถั่วเขียว เห็ด ถั่วลิสง อกไก่ ปลาทูน่า อะโวคาโด
บี5 (แพนโทเทนิค) อีกวิตามินบีที่สำคัญที่ช่วยทำให้ผิวสดใส ไม่หมองคล้ำ ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น กักเก็บน้ำในผิว ทำให้ผิวเกิดความฟูและยืดหยุ่น ยังเป็นวิตามินแห่งการปกป้องผิวจากการอักเสบและการแดงของผิว พบมากในเนื้อไก่เห็ด อะโวคาโด มันหวาน ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน
บี7 (ไบโอติน) ช่วยซ่อมเเซมเซลล์ผิว ช่วยในการสังเคราะห์กรดอะมิโนและกรดไขมันที่เป็นประโยชน์กับผิว ยังช่วยทำให้ผิวมีชีวิตชีวา ป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง แดง และเเพ้ง่าย พบมากในไข่แดง ตับ ไต ถั่ว ดอกกะหล่ำ
วิตามินดี (Vitamin D) ช่วยทำให้ผิวดูสดใส ต้านความเครียด ทำให้ผิวหายใจได้ดีขึ้น ลดโรคผิวหนังบางชนิด แหล่งที่มาของวิตามินดีคือแสงแดด โดยเฉพาะแสงแดดตอนเช้า และยังพบมากในอาหาร อย่างปลาที่มีไขมันสูง ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ไข่
กลูต้าไธโอน (Glutathione) ช่วยชะลอความชรา ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยเร่งประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซีและอี พบมากในผักและผลไม้ เช่น อะโวคาโด กะหล่ำปี
คอลลาเจน (Collagen) ช่วยทำให้แข็งแรงผิวเต่งตึง เรียบเนียน พบมากในถั่วเหลือง ผักใบเขียวทุกชนิด แตงกวา สาหร่าย เห็ด ดาร์กช็อกโกแลต
โครเมียม (Chromium) ช่วยทำให้แผลหายเร็ว ป้องกันรอยแผลเป็น ช่วยต้านทานการติดเชื้อของผิวหนังพบมากในอาหารทะเล จมูกข้าวสาลี น้ำมันข้าวโพด ตับ มันฝรั่ง
สังกะสี (Zinc) ช่วยซ่อมแซมคอลลาเจน ส่งเสริมการเจริญของเซลล์ผิว กระตุ้นการทำงานของวิตามินด้านอนุมูลอิสระ และช่วยชะลอความชรา พบมากใน อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ไข่ แป้งงา ช็อกโกเแลต
ไลโคปีน (Lycopene) ช่วยกำจัดการสร้างอนุมูลอิสระ ป้องกันการทำลายเซลล์ผิวหนัง พบมากใน มะเขือเทศ แตงโม กุ้ง ปู เชอรี่

5.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เราทุกคนรู้ดีว่าการออกกำลังกายนั้นดีต่อสุขภาพ และแน่นอนการออกกำลังกายช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณด้วยเช่นกัน การออกกำลังกายช่วยให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ซึ่งทำให้ผิวของเราดูสดใสเปล่งปลั่งขึ้น นอกจากนั้นการออกกำลังกายยังช่วยขับเหงื่อและกระตุ้นต่อมผลิตไขมัน ซึ่งช่วยในเรื่องของให้กักเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนังเอาไว้ ดังนั้นเราควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 45 นาที 5-6 วันต่อสัปดาห์

6.ดื่มน้ำสะอาด 6-8 แก้วต่อวัน
น้ำเป็นส่วนประกอบหลักของร่างกายซึ่งมีอยู่ในทุกๆเซลล์ การที่เราดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมนั้นจะช่วยให้เซลล์ทำงานได้ดีขึ้น และด้วยเหตุนั้นเองร่างกายเราจะเกิดความสมดุลมากขึ้นและผิวของเราก็จะดูชุ่มชื้นขึ้นอีกด้วย

7.นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
ช่วงเวลาของการนอนหลับนั้นเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของเราหลั่งสารออกมาซ่อมแซมตัวเอง ดังนั้นหากเราต้องการมีผิวสุขภาพดี เราควรคำนึงถึงคุณภาพการนอนหลับและปริมาณเวลาในการนอนหลับ ซึ่งคุณภาพที่ว่าถึงนี้ คือ การหลับลึกสนิทตื่นมาไม่รู้สึกเพลีย เคล็ดลับการนอนแบบมีคุณภาพเช่น นอนเป็นเวลา, งดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน, งดเล่นอุปกรณ์ไอทีก่อนนอน ปริมาณการนอนที่เหมาะสม คือ การนอนพักอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งการนอนหลับอย่างเพียงพอและมีคุณภาพนั้นจะช่วยให้ผิวสดใสขึ้น และช่วยลดปัญหาใต้ตาคล้ำได้อย่างแน่นอน

การดูแลผิวหน้า ตามช่วงอายุ

สภาพผิวหน้าของเราเปลี่ยนไปตามปัจจัยภายในและภายนอกหลายอย่าง ปัจจัยภายในไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนหรือปริมาณสารต่างๆที่หลั่งอยู่ในร่างกาย แน่นอนสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ดังนั้นเราควรจะมีกลยุทธ์ดูแลผิวหน้าตามช่วงอายุของเราเช่นกัน

ผิวหน้าช่วงเข้าสู่วัยรุ่น

ช่วงเข้าสู่วัยรุ่นเป็นช่วงที่เราทุกคนเริ่มต้นรู้จักคำว่า ”สิว” เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายของเราถูกผลิตเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งฮอร์โมนเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของไขมันในส่วนต่างๆของร่างกายเช่น ใบหน้า แผ่นหลัง หน้าอก ให้มีการสร้างและขับน้ำมันออกมาทางผิวหนังมากขึ้น และนั่นเองทำให้เกิดการอักเสบและเป็นบ่อเกิดของ “สิว”
ดูแลผิวหน้าโดยให้ความสำคัญกับ 
การควบคุมความมัน, การรักษาสิว, การป้องกันรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว

ผิวหน้าช่วงอายุ 20 – 30 ปี

ในช่วงต้นๆของอายุช่วงนี้ เราจะมีคอลลาเจนและอีลาสตินที่มากพอให้หน้าของเรายังดูเต่งตึง และการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวจะเริ่มน้อยลงเมื่อเราเข้าใกล้อายุ 30 สุขภาพและสภาพผิวหน้าของเราในช่วงอายุนี้จะถูกกำหนดโดยสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมที่ทำเป็นหลัก เช่น นิสัยการนอน ออกกำลังกาย ความเครียด การออกแดดหรืออยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน ซึ่งแน่นอนเราควรจะต้องดูแลผิวหน้าของเราให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่เรามี
ดูแลผิวหน้าโดยให้ความสำคัญกับ
การทำความสะอาด, การป้องกันและบำรุงผิวหน้าตามไลฟ์สไตล์

ผิวหน้าช่วงอายุ 30 – 40 ปี

ในช่วงอายุนี้ความชุ่มชื้นของผิวเริ่มลดลง เกราะป้องกันผิวเริ่มอ่อนแอลง น้ำมันออกตามผิวน้อยลง ทำให้ผิวแห้ง เราเริ่มสังเกตุเห็นรอยเหี่ยวย่นที่เพิ่มขึ้นในจุดต่างๆบนใบหน้า เช่น ตา หน้าผาก แก้มและคาง
ดูแลผิวหน้าโดยให้ความสำคัญกับ
การเพิ่มความชุ่นชื้น, การรับประทานสารอาหารที่มีวิตามินซี, เอ, อีและบีรวม, ใช้เครื่องสำอางที่มีสารต้างอนุมูลอิสระ

ผิวหน้าช่วงอายุ 40 – 50 ปี

ในช่วงอายุนี้เซลล์ผิวเก่าในชั้นหนังกำพร้าจะเริ่มหดตัว เซลล์ผิวใหม่จะเกิดขึ้นน้อยลง ชั้นหนังแท้เริ่มสูญเสียความสามารถในการกักเก็กน้ำ ความยืดหยุ่นและความแข็งแรง ทำให้ผิวแห้งลงมาก จุดด่างดำและริ้วรอยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ดูแลผิวหน้าโดยให้ความสำคัญกับ
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดมไปด้วยน้ำมัน, การเพิ่มความชุ่มชื้น, การใช้เซรั่มเพื่อแก้ไขและต่อต้านริ้วรอย จุดด่างดำ

ผิวหน้าช่วงอายุ 50 – 60 ปี

ในช่วงอายุนี้ผิวหนังจะหยุดสร้างคอลลาเจน ความหนาแน่นและปริมาณของชั้นผิวลดลง ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ดูไม่เต่งตึงและกระจ่างใส
ดูแลผิวหน้าโดยให้ความสำคัญกับ
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดมไปด้วยน้ำมัน, การเพิ่มความชุ่มชื้น, การใช้เซรั่มเพื่อแก้ไขและต่อต้านริ้วรอย จุดด่างดำ, การนวดหน้า, การรับประทานอาหารที่ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซี, เอ, อีและบีรวม

ผิวหน้าช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป

ในช่วงวัยนี้ ความสามารถของผิวในการผลิตเซลล์ผิวใหม่ลดลงอย่างชัดเจน เซลล์ผิวเก่าที่มีก็มีความบางมาก อีกทั้งความไวต่อแดดเพิ่มขึ้นและภูมิคุ้มกันผิวลดลง ทำให้ผิวแห้ง มีโอกาสเกิดจุดด่างดำและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายมากขึ้น
ดูแลผิวหน้าโดยให้ความสำคัญกับ
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดมไปด้วยน้ำมัน, การเพิ่มความชุ่มชื้น, การใช้เซรั่มเพื่อแก้ไขและต่อต้านริ้วรอย จุดด่างดำ, การนวดหน้า, การรับประทานอาหารที่ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซี, เอ, อีและบีรวม

7 ปัจจัยที่ทำให้ผิวเสีย

  1. แสงแดด

นอกจากแสงแดดทำให้เราผิวดำแล้ว แสงแดดยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าของเรามีริ้วลอย เนื่องจากแสงแดดเข้าไปทำลายคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์ผิว ยิ่งไปกว่านั้นความร้อนจากแสงแดดยังทำให้น้ำมันที่เคลือบผิวหนังลดน้อยลง ทำให้ผิวแห้ง
  1. อากาศแห้ง

อากาศหนาวแห้ง ในฤดูหนาวหรือห้องแอร์จะมีความชื้นต่ำ ทำให้เราสูญเสียน้ำออกจากผิวหนังมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผิวแตกแห่้ง เป็นขุย
  1. มลภาวะในอากาศ

ฝุ่นควัน มลพิษมากมาย สิ่งเหล่านี้เมื่อเรารับมาในปริมาณมาก เยื่อหุ้มเซลล์ที่ปกติป้องกันสารอันตรายเหล่านี้จะไม่สามารถป้องกันสารได้ทั้งหมดและจะทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำ ดูโทรมได้
  1. ความเครียด

ความเครียดทำลายและสร้างความแปรปรวนหลายระบบในร่างกาย เช่น การนอนหลับ การขับถ่ายของเสีย สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหนังสุขภาพเสีย
  1. การสูบบุหรี่ / ยาเสพติด

การสูบบุหรี่และยาเสพติดเหมือนกับนำมลภาวะในอากาศเข้าไปในร่างกายโดยตรง ซึ่งแน่นอนสารอันตรายต่างๆก็จะเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ หลอดเลือด และระบบในร่างกาย
  1. เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน

เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ จะทำให้ผิวหนังขาดน้ำ แห้ง เป็นผลทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นและถุงใต้ตาได้ง่าย
  1. แสงสว่างจากจอคอมพิวเตอร์

จอมือถือ คอม หรือทีวีส่วนใหญ่มักมีรังสีที่เข้าไปกระตุ้นเซลล์ผิวให้ทำหน้าที่ผลิตเมลานินหรือเม็ดสีดำมากขึ้น ซึ่งเป็นผลทำให้ผิวเข้มขึ้นหรือเกิดริ้วรอยได้

การดูแลผิวหน้า ตามสถานการณ์

จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น อาจจะเห็นได้ว่าในบางครั้งเราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ส่งผลกระทบทำให้ผิวหน้าเสียได้อย่าง 100% ในบางวันเราอาจจะต้องเผชิญกับเเสงแดดและมลภาวะ หรือบางวันเราอาจจะทำงานหนักจนเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้ผิวหน้าเราเกิดอาการผิดปกติเป็นครั้งคราวตามสถานการณ์ เช่น ผิวเป็นสิวผด ผิวเป็นสิวอักเสบ เป็นต้น ดังนั้นหากในบางครั้งที่เราต้องเผชิญปัญหาผิวหน้าเหล่านี้ เราสามารถจัดการทำตามวิธีการเหล่านี้ได้เลย !

วิธีดูแลผิวหน้าแห้ง 

  1. วิธีทำความสะอาดผิวหน้าแห้ง

หากเราหน้าแห้ง เราควรทำความสะอาดหน้าโดยใช้น้ำเย็น เพราะว่าน้ำอุ่น-ร้อนเป็นปัจจัยหลักที่ทำลายความชุ่มชื้นในผิวหน้า และใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน เช่น เจลล้างหน้า คลีนซิ่งออยล์ หากเลือกใช้โฟมล้างหน้า ควรเลือกโฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์สูง ซึ่งโฟมล้างหน้าทั่วๆไปจะมีสารชะล้างสูง ทำให้ผิวหน้าแห้ง ลอก เป็นขุย ส่งผลให้ผิวมีความอ่อนไหวง่ายขึ้น
  1. วิธีบำรุงหน้าแห้ง

เนื่องจากปัญหาหน้าแห้งเกิดจากผิวขาดน้ำมันและน้ำ ดังนั้นการบำรุงหน้าแห้ง เราจะต้องเน้นไปในเสริมประสิทธิภาพในการกักน้ำใต้ผิวและการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โดยเราจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์มอยส์เจอร์ไรเซอร์ประเภท Humectant และ Occlusive เนื่องจากมอยส์เจอร์ไรเซอร์ประเภทเหล่านี้จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำใต้ผิว และซ่อมแซมในการกักเก็บน้ำ ช่วยสร้างเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ไม่แพ้ง่าย อีกทั้งยังช่วยลดการสูญเสียน้ำออกทางผิวหนัง ลักษณะของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เราเลือกใช้นั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวของเรา เช่น เราจะเลือกใช้เซรั่ม หากเรามีผิวหน้าแพ้ง่ายหรือผิวหน้ามัน และเราจะเลือกใช้ครีม หากเรามีผิวหน้าแห้งหรือธรรมดา เป็นต้น
  1. วิธีบำรุงหน้าแห้งจากภายใน

อาหารที่ช่วยในการบำรุงผิวแห้งคืออาหารประเภทที่มี กรดไขมันโอเมก้า 3 และ วิตามินเอ กรดไขมันโอเมก้า 3 นั้นพบมากใน ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ผักโขม ถั่ววอลนัทและถั่วเหลือง วิตามินเอ พบมากใน ไข่ เนื้อ นม ชีส ครีส และผักใบเขียว
นอกจากอาหารแล้วการดื่มน้ำก็สำคัญมากๆ เพราะถ้าร่างกายขายน้ำมาก ผิวของเราก็จะขาดความชุ่มชื้นไปด้วย ดังนั้นถ้าเราต้องการผิวนุ่มชุ่มชื้น กระจ่างใส เราควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน
  1. ป้องกันผิวหน้าแห้งง่ายๆโดยการเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้

  • หลีกเลี่ยงการใช้เวลาในบริเวณที่มีอากาศแห้งเป็นระยะเวลานาน
  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น-ร้อน
  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีน้ำหอมในปริมาณมาก
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอมและสี

วิธีรักษาสิวผด 

  1. วิธีทำความสะอาด

หากเรามีสิวผด เราไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพียง 2 ครั้งต่อวันก็เป็นที่เพียงพอ และสิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาสิวผด คือ การเพิ่มความเย็นให้แก่ผิวหน้า ดังนั้นเราควรทำความสะอาดหน้าโดยใช้น้ำเย็น และใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวหน้า ปราศจากส่วนผสมของน้ำหอมหรือสารชำระล้างที่มีความเป็นด่างซึ่งจะเป็นตัวทำลายฟิล์มเคลือบผิวตามธรรมชาติ เช่น สบู่ หรือโฟมล้างหน้าที่มีค่า pH มากกว่า 7 ขึ้นไป
  1. วิธีบำรุงหน้า

การดูแลรักษาสิวผดนั้นต้องมีความอดทนและต้องคอยหมั่นสังเกตุว่าปัจจัยใดเป็นตัวกระตุ้นให้ใบหน้าเราเกิดสิวผด เช่น แสงแดด ความร้อน ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า เครื่องสำอางที่เราใช้ ตลอดจนพฤติกรรมต่างของเรา เมื่อทราบเเล้วเราต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านั้น โดยลักษณะของสิวผดจะเป็นเม็ดเล็กๆใสๆ จะมีความใกล้เคียงกับสิวที่ไม่มีหัว ซึ่งส่วนมากจะเกิดขึ้นเมื่อสภาพผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น เกราะป้องกันผิวเสีย ทำให้ผิวบอบบาง แพ้ง่าย ซึ่งเมื่อผิวโดนการกระตุ้นจากแสงแดด ความร้อน และมลภาว จะทำให้เกิดการเห่อของสิวผดมากกว่าปกติ ซึ่งวิธีการดูแลรักษาสิวผดจะทำได้โดยหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหน้าและเส้นผมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองแก่ผิว เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิว อีกทั้งควรป้องกันผิวจากแสงแดด โดยการเลือกผลิตภัณฑ์ป้องกันเเสงแดดทั้ง UVA และ UVB ที่เหมาะสมต่อสภาพผิวของเรา
อย่างไรก็ตามสิวผดจะสามารถเกิดการอักเสบขึ้นมาได้ จากการแกะ เกา บีบ เช็ดบริเวณที่เป็นสิวและผิวหน้าแรงๆ เมื่อเกิดการอัดเสบขึ้นมา อาจมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา เพื่อลดการอักเสบให้สิวผดยุบตัวลง โดยใช้กลุ่มยารักษาสิว ที่มีทั้งแบบยาทาและยากิน ทั้งนี้การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอับเสบที่เกิดขึ่้นและสาเหตุของการอักเสบ
  1. วิธีบำรุงหน้าจากภายใน

แน่นอนเราควรดื่มน้ำให้มากๆและรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยแร่ธาตุสังกะสี (Zinc) ซึ่งจะช่วยให้ผิวของเราแข็งแรง และฟื้นฟูเร็วขึ้น แร่ธาตุสังกะสีพบมากใน นม เนย ปู กุ้ง ไข่ ข้าวกล้อง มันฝรั่ง ผักใบเขียว มะม่วง สับปะรด แอปเปิ้ล นอกจากนั้นเราควรให้ความสำคัญกับการพักผ่อนและความเครียด เพราะความเครียดและการพักผ่อนน้อยจะทำให้ต่อมไขมันทำงานหนัก
  1. ป้องกันสิวผดง่ายๆโดยการเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้

  • หลีกเลี่ยงการใช้เวลาในบริเวณที่มีอากาศร้อน อบเป็นระยะเวลานาน
  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น-ร้อน
  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกมาก
  • หลีกเลี่ยงการนวด ถู แกะ หรือเกาหน้า
  • หลีกเลี่ยงการพักผ่อนน้อย


การดูแลผิวหน้า ตามสภาพผิว

คนเราเกิดมามีสภาพผิวหน้าที่ต่างกัน ซึ่งสภาพผิวที่ต่างกันก็ต้องได้รับวิธีการดูแลที่ต่างกัน มาดูกันว่าสภาพผิวของคุณเป็นแบบไหนและมีวิธีการดูแลอย่างไร
สภาพผิวของคนเราแบ่ง ออกมาได้เป็น 5 ประเภทดังนี้
  • ผิวธรรมดา (Normal Skin)

ผิวธรรมดา คือ ผิวที่ผลิตน้ำมันได้อย่างพอดี ทำให้ผิวไม่แห้งและไม่มันจนเกินไป เป็นผิวที่มีความสมดุลและสุขภาพดีมากที่สุดในบรรดาผิวทั้ง 5 ประเภท  ผิวธรรมดาจะมีรูขุมขนเล็ก ปราศจากสิว อ่อนนุ่มและเรียบเนียน อมชมพูไม่หมองคล้ำเหมือนผิวเด็ก

วิธีดูแลผิวธรรมดา

ผิวธรรมดาเป็นสภาพผิวที่มีปัญหาน้อยที่สุดในบรรดาสภาพผิวทั้งหมด ดังนั้นวิธีการดูแลที่สุดก็คือ การปกป้องผิวจากปัจจัยที่ทำให้ผิวเสียต่างๆ เช่น ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ใช้เซรั่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
  • ผิวบอบบางแพ้ง่าย (Sensitive Skin)

ผิวบอบบางแพ้ง่าย เป็นสภาพผิวที่มีความไวต่อสิ่งรบกวนภายนอก ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและเเพ้ได้ง่าย เกิดอาการเเห้ง ลอกเป็นขุย มีผื่นเเดด ตุ่มนูน รู้สึกแสบคันที่ผิว และมักจะเกิดสิวได้ง่ายอีกด้วย

วิธีดูแลผิวบอบบางแพ้ง่าย

หากเรามีผิวบอบบางแพ้ง่าย แปลว่า เรามีความเสี่ยงในการแพ้หรือมีปัญหาทางผิวหน้าสูงกว่าปกติ ดังนั้นเราควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารที่อาจจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว ควรสังเกตุตัวเองว่าแพ้อะไรเป็นพิเศษและหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น เช่น แพ้ฝุ่น แพ้แชมพู เเพ้สารเคมี เป็นต้น หากหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างน้อยที่สุดควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าและบำรุงที่อ่อนโยน
  • ผิวมัน (Oily Skin)

ผิวมัน คือ ผิวที่ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ทำให้ผิวมีลักษณะเงา หยาบ มัน และรูขุมขนใหญ่จนสามารถเห็นได้ชัดเจน

วิธีดูแลผิวมัน

หากเรามีผิวมัน ความสะอาด คือ สิ่งที่เราไม่ควรปล่อยปละละเลย เพราะความมันจะช่วยสะสมสิ่งที่สกปรกอยู่บนใบหน้า ดังนั้นเราควรล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้ง ในระหว่างวันหากผิวหน้ามีความมันมากสามารถใช้กระดาษซับมันเป็นตัวช่วย นอกจากนั้นเรายังควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่หนักโอบอุ้มน้ำมัน เช่น ครีม โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่บางเบาอย่างเซรั่มหรือเอสเซนต์ในการบำรุงหน้าแทน เพราะหากเราใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันเยอะ อาจเป็นผลทำให้หน้าเราเกิดสิวอักเสบและสิวอุดตันเพิ่มขึ้นได้ เราควรเลี่ยงรับประทานอาหารประเภททอดและอาหารมัน และเลือกรับประทานอาหารที่ประกอบไปด้วย วิตามินเอ และวิตามินบี 2 ซึ่งสามารถพบได้มากใน แคนตาลูป ผักโขม แคร์รอต และถั่วต่างๆด้วย
  • ผิวแห้ง (Dry Skin)

ผิวแห้ง คือ ผิวที่ผลิตน้ำมันออกมาน้อยกว่าผิวธรรมดา ทำให้ผิวขาดกรดไขมันจำเป็นในการรักษาความชุ่มชื้น ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดความบกพร่องของเกราะคุ้มกันผิวตามธรรมชาติ ผิวแห้งจะหยาบกร้าน มีโอกาสเกิดริ้วรอยก่อนวัย และผิวมีอาการลอกเป็นขุยและรู้สึกคันได้ง่าย

วิธีดูแลผิวแห้ง

หากเรามีผิวแห้ง เราควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้าประเภท เจล หรือคลีนซิ่งออยล์ เพราะมีสารชำละล้างไม่สูงเท่าโฟมปกติ ซึ่งจะอ่อนโยนและไม่ทำร้ายผิวหน้าของเราให้แห้งลงไปกว่าเดิม ส่วนการบำรุงนั้นเราควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์หรือครีม เพื่อกักเก็บและปกป้องความชุ่มชื้นในผิวอยู่เป็นประจำ อีกทั้งเราควรบำรุงจากภายในโดยการดื่มน้ำเยอะๆ และรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอ อี และกรดไขมันโอเมก้า 3
  • ผิวผสม (Combination Skin)

ผิวผสม คือ หน้าที่มีผิวผสมกันระหว่างผิวธรรมดาหรือผิวแห้งกับผิวมัน ผิวหน้าประเภทนี้จะมีผิวมันในโซนช่วงหน้าผากคางและจมูก เรียกว่า “T-Zone” และจะมีผิวธรรมดาหรือผิวแห้งในโซนช่วงโหนกแก้มและข้างแก้ม

วิธีดูแลผิวผสม

หากเรามีผิวผสม เราอาจจะต้องทำงานหนักกว่าสภาพผิวประเภทอื่น เนื่องจากเราต้องดูแลทั้งผิวมันและผิวแห้ง 2 สภาพผิวพร้อมๆกัน เราควรให้ความสำคัญกับผิวมันช่วง T-Zone โดยการดูแลความมันอย่างที่กล่าวมาด้านบน และดูแลผิวแห้งช่วงแก้มอย่างที่กล่าวมาด้านบน แต่หากเราไม่ชอบความยุ่งยาก เราสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนเหมาะสำหรับทุกสภาพผิวอย่างเซรั่มหรือเอสเซนต์ในการบำรุงหน้า และใช้โทนเนอร์ ช่วยเสริมในการทำความสะอาดผิวหน้า และใช้โทนเนอร์ ช่วยเสริมในการทำความสะอาดผิวหน้า
เป็นอย่างไรบ้างกับบทสรุป การดูแลผิวหน้า ให้ขาวใส หวังว่าบทความนี้จะเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้คุณมีหน้าขาวใสอย่างที่คุณต้องการได้นะ!

แจกสูตรเบสครีม สำหรับทำโลชั่น ครีมทาผิว

ครูดานิ เชื่อว่า มีหลายคนที่อยากทำครีมใช้เอง  แต่ติดที่ว่ายังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องสาร   ตัวนี้เลยคะ  Cetyl Alcohol   ซิทิล แอลกอฮ...